ของ 4G สามารถดาวน์โหลดไฟล์ หนังระดับ 4K หรือ 8K หรืออัลบั้มเพลงได้ภายในเวลาไม่กี่วินาที ไม่มีสะดุด การสืบค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ผ่าน Mobile Internet ก็ทำได้ในเวลาเสี้ยววินาที หรือการใช้งานแบบเรียลไทม์ มากยิ่งขึ้น
สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ เช่น การผ่าตัดทางไกล รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ หรือ การควบคุมเครื่องจักรในโรงงานหรือในพื้นที่ก่อสร้างจากระยะไกล เป็นต้น
ซึ่งตัวอย่างการใช้งานที่ชัดเจนสุดในกรณีนี้คือ การสร้าง Smart City หรือ เมืองอัจฉริยะ ที่ต้องการเซ็นเซอร์ชนิดต่างๆ จำนวนมากในพื้นที่เมืองไม่ว่าจะเป็นเซ็นเซอร์วัดคุณภาพน้ำ และอากาศ เซ็นเซอร์เพื่อควบคุมระบบแสงสว่างในเมือง รวมถึงเซ็นเซอร์ที่ Smart Pole เพื่อใช้สื่อสารกับ Autonomous car เป็นต้น
5G SA (5G Standalone) คือ 5G ที่ไม่ได้ใช้ 4G สำหรับฟังก์ชันการควบคุมใดๆ ซึ่งต่างจาก 5G ประเภท Non-Standalone (NSA) ที่ยังต้องทำงานร่วมกับ4G เดิมอยู่
5G SA (Stand Alone) เป็นการใช้โครงข่าย 5G ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีการใช้โครงข่าย 4G มาเกี่ยวข้องจึงทำให้เวลาในการประมวลผล น้อยกว่าแบบNon-Standalone (NSA) ส่งผลให้ค่า latency หรือค่าความหน่วงลดลง และข้อได้เปรียบที่สำคัญของ 5G แบบ Standalone (SA) คือรองรับการใช้งานเครือข่าย 5G แบบแยกส่วน (Network Slicing) ที่ช่วยปรับแต่งคุณสมบัติเครือข่ายและจัดสรรทรัพยากรความถี่ อย่างสอดคล้องและยืดหยุ่นกับลักษณะการใช้งานแต่ละรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการบริการสำหรับลูกค้าทั่วไป หรือในแต่ละพื้นที่ของภาคธุรกิจได้อย่างคล่องตัว ทำให้สามารถรับประกันคุณภาพของการเชื่อมต่อและความเร็วได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และรวมถึงยังรองรับเทคโนโลยี 5G Multi – access Edge Computing (MEC) ที่สามารถนำ Application Server ให้เข้าใกล้ผู้ใช้งานมากที่สุด ช่วยให้สามารถใช้งานเครือข่ายด้วยการเข้าถึงแบบไร้สาย เพื่อให้บริการประมวลผลในปริมาณมากและมีความปลอดภัยสูงสุด
ครอบคลุม 77 จังหวัด ในส่วนพื้นที่ในตัวเมือง
1. iPhone 14
2. iPhone 14 Plus
3. iPhone 14 Pro
4. iPhone 14 Pro Max
5. Samsung S23 series
6. Samsung Z Fold4
7. Samsung Z Flip4
8. OnePlus 11
9. ROG 6D | ROG 6 series
10. Xiaomi 13 series
11. OPPO Find N2 Flip
12. Vivo X90 series
13. realme GT series
เทคโนโลยีที่รวมคลื่นความถี่ 5G ขยายความสามารถในการรับ-ส่งข้อมูลได้เร็วขึ้น 1.7 เท่า เพื่อให้ 5G สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้ดียิ่งขึ้น โดยมีจุดเด่นที่สามารถทำให้คลื่นความถี่ทั้ง 2 ย่าน คือ ความถี่กลาง 2600MHz และย่านความถี่ต่ำ 700MHz ผสมผสาน ส่งเสริมกันและกัน ซึ่งจะช่วยทำให้ การใช้งาน 5G มีศักยภาพสูงขึ้น อัปโหลดและดาวน์โหลดได้เร็วขึ้น และทะลุทะลวงในพื้นที่ที่มีข้อจำกัด
เทคโนโลยี EN-DC คือ เทคโนโลยีมาตรฐานใหม่ของยุค 5G ที่เครือข่ายและสมาร์ทโฟน สามารถรวมประสิทธิภาพจากทุกคลื่นความถี่ รวมความเร็วทั้งจาก 4G และ 5G เข้าด้วยกัน ทำให้เกิดความเร็วสูงสุด ยิ่งมีคลื่นความถี่กว้าง ยิ่งทำให้ความเร็วเต็มประสิทธิภาพได้มากยิ่งขึ้น